ร้านนกหวีดพลัส

บทความ

ผ้าทอกับวิถีชีวิตคนไทย

23-07-2557 22:28:21น.

ผ้าทอกับวิถีชีวิตคนไทย

ผ้าเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของการดำรงชีวิตของมนุษย์   นอกจากอาหาร   ที่อยู่อาศัย  และยารักษาโรค   ผ้าซึ่งมีความสำคัญและสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของมนุษย์มานับตั้งแต่ยุคดั้งเดิมหรือในยุคสังคมบรรพกาล   อย่างไรก็ดีหลักฐานเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่มของมนุษย์ที่อยู่อาศัยในประเทศในยุคเก่าแก่มีน้อยมากทั้งนี้เนื่องจากเครื่องนุ่งห่มผลิตจากเส้นใยผุพังง่าย  มักเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา   จากการศึกษาด้านโบราณคดีในประเทศไทย   หลักฐานที่พบคือ   ภาพจิตรกรรมบนเพิงผาหรือผนังถ้ำต่างๆหลายแห่ง   ภาพเหล่านี้มักแสดงลักษณะมนุษย์กำลังเต้นรำหรือประกอบพิธีกรรมต่างๆ   สันนิษฐานกันว่ามนุษย์ในยุคหินใหม่หรือประมาณ  3,000-4,000  ปีมาแล้ว   ที่มนุษย์เริ่มรู้จักการปั่นเส้นใยพืชเพื่อนำมาสานทอเป็นผ้านุ่งห่ม  หลักฐานที่พบในแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ของประเทศไทย  ได้แก่  ลวดลายรอยประทับของเชือกหรือเส้นใยที่บิดเกลียวบนภาชนะดินเผา   เศษใบผ้าที่ติดอยู่บนวัตถุทองแดงและเหล็ก   และหินทุบผ้าเปลือกไม้และแวดินเผา   ซึ่งเป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับปั่นด้าย   จากการวิเคราะห์เส้นใยที่เป็นหลักฐานทางโบราณคดี    ทำให้มีกี่สันนิษฐานว่า  ผ้าทอที่ผลิตขึ้นในยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้น   ผลิตจากป่านเส้นใยกัญชา   ซึ่งเป็นเส้นใยที่ได้จากลำต้นของพืชชนิดหนึ่ง  ส่วนการผลิตผ้าจากเส้นในฝ้ายและผ้าไหมนั้นคงเกิดขึ้นในยุคหลังต่อๆมาโดยมีข้อสันนิษฐานว่าการปลูกฝ้ายในไทยนั้นอาจมีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย   ส่วนไหมนั้นอาจมีต้นกำเนิดมาจากจีน

ผ้าทอในวิถีชีวิตไทย   สังคมไทยในอดีต   คือ   สังคมกสิกรรมที่มีระบบการผลิตแบบเลี้ยงตนเอง    ตลอดจนการแลกเปลี่ยนค้าขายกันทั้งในระดับหมู่บ้าน   และการติดต่อที่อยู่ห่างไกลกับชุมชน   การทอผ้าเป็นหน้าที่สำคัญของสตรีไทยในอดีต   เพื่อตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐาน   มีการนำฝ้ายเพื่อนำมาปั่นและทอเป็นผ้านุ่งห่มจึงเป็นระบบการผลิตที่ควบคู่กันมาแต่โบราณกาล    ส่วนในกรณีที่ชุมชนใดไม่สามารถปลูกฝ้าย   หรือผลิตผ้าทอเองไม่ได้   ก็มีการแลกเปลี่ยนค้าขายกันระหว่างชุมชนมาช้านานเช่นกัน    ผ้าทอไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในการใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม   เพื่อป้องกันการหนาวเย็นหรือเป็นอาภรณ์ปกปิดร่างกายเท่านั้น   การพัฒนารูปแบบการผลิต   การย้อมสี   และเทคนิคการทอใส่ลวดลายนับเป็นงานศิลปะที่ทำให้ผืนผ้ามีความวิจิตรงดงามเป็นสิ่งสะท้อนค่านิยมวัฒนธรรมและสังคมของผู้ทอหรือผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดีในวิถีชีวิตไทย   จะพบว่าผ้าทอผูกพันกับช่วงวัยของชีวิตนับตั้งแต่เกิดจนตายคือ   เมือลูกเกิดมาก็ต้องนอนในเปลผ้าที่แม่ทอ   และนอนในเปลไม้ไผ่ที่พ่อสาน   สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างพ่อ  แม่  ลูก   กับการทอผ้า   และการจักสาน   อันเป็นวิธีการดำรงชีวิตของชาวบ้านไทยมาแต่อดีต  อู่ผ้าและอู่ไม้ไผ่สาน   คือ   งานหัตถกรรมที่แม่และพ่อทำขึ้นมาให้ลูกได้ใช้ในวัยเยาว์   อู่ผ้า   ฟูก   หรือเบาะนอน  ล้วนเกิดจากผ้าฝ้ายที่แม่ต่ำ (ทอ) เย็บเตรียมไว้  ส่วนผ้าอ้อมสำหรับทารกในอดีต  คือ  เศษผ้าซิ่นเก่าของแม่ที่เนื้อผ้ามีความอ่อนนุ่ม   จากการใช้สอยมานาน   ทำให้ไม่ระคายเคืองต่อผิวทารกน้อย  เมื่อเติบโต  ทั้งเด็กหญิงเด็กชาย   นอกจากจะได้เรียนรู้อาชีพทำไร่   ทำนา  เป็นหลักแล้ว  เด็กชายอาจจะได้รับการฝึกหัดจากการจักสาน   ในขณะที่เด็กหญิงหัดเรียนทอผ้า  ตั้งแต่อายุ  7-8 ขวบ  โดยเริ่มจากหัดทอขั้นพื้นฐาน   ได้แก่   การทอผ้าฝ้ายสีขาว   ลายขัดสานธรรมดาที่เรียกว่า  “ผ้าฮำ”  คือผ้าฝ้ายสีขาว  หรือ  ผ้าสีหม้อฮ่อมเข้มจนดำ  เป็นผืนผ้าที่แม่บ้านแทบทุกครัวเรือนจะทอเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น   ผ้าเหล่านี้ได้ใช้ประโยชน์ในการตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า   เครื่องใช้สอยต่างๆในบ้าน  ตลอดจนนำผ้าขาวไปย้อมสีเหลืองเป็นผ้าไตรจีวรสำหรับให้ลูกชายได้สวมใส่ในยามบวชเณร    ผ้าจึงเป็นสื่อสายใยระหว่างแม่กับลูก   และเป็นสื่อแห่งการสะสมสร้างบุญในทางพุทธศาสนาอีกด้วย   หญิงสาวที่มีฝีมือในการทอผ้า   มักจะเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม   ในประเพณีการแอ่วสาวของคนไทยในภาคเหนือ   ในอดีตสาวๆจะนั่งอยู่บน  “เติ๋น”  หรือส่วนรับแขกของบ้านทำงานบ้านต่างๆ   เช่น   ปั่นฝ้าย   เย็บปักถักร้อย   ในขณะที่หนุ่มๆมาเที่ยวหา  พูดคุยด้วยบทสนทนาที่เรียกว่า   “คำเครือ”  อันเป็นบทร้อยกรองที่ไพเราะ   หากสาวๆพึงพอใจชายหนุ่มผู้ใดก็จะให้ยืม  “ผ้าต๊ม”  คือผ้าห่มคลุมตัวกลับไปบ้าน   เพื่อว่าคืนต่อไปชานหนุ่มจะได้กลับมาสืบสานต่อความสัมพันธ์   สำหรับผ้าผืนพิเศษที่หญิงสาวมอบให้ชายคนรักมักจะมีลวดลายงดงามอันแสดงฝีมือเป็นเลิศ  เช่น  “ผ้าเช็ด”  อันเป็นผ้าพาดไหล่ชายหนุ่มเวลาไปวัด  ถุงย่ามใบงามหรือ  “ผ้าต่อง”  คือ  ผ้าขาวม้า  อันเป็นผ้าสารพัดประโยชน์  เป็นต้น   ผ้าทอจึงมีบทบาทใช้เป็นของฝากหรือเป็นสื่อรักแทนใจระหว่างชายหญิงมาช้านาน   เครื่องแต่งกายของชนเผ่าต่างๆในอดีต   คือ   สิ่งบ่งชี้ถึงวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชน   รายละเอียดประดับประดาลวดลาย   โครงสร้าง   รูปแบบจะบ่งบอกให้ทราบถึงถิ่นที่มา    วัย   สถานภาพของผู้สวมใส่    และเทศกาลต่างๆ  โดยเฉพาะในเครื่องแต่งกายของผู้หญิงมักจะมีรายละเอียดของการตกแต่งมากกว่าผู้ชาย   คำว่า   “เครื่องนุ่งห่ม”  ในภาษาไทยสะท้อนให้เห็นถึงการแต่งกายของคนไทยที่ประกอบไปด้วยผ้า   2   ผืน  คือ   ผ้านุ่ง   1   ผืน  และผ้าห่มอีก   1   ผืน   แต่ในเวลาอากาศร้อน   คนไทยในอดีตคุ้นเคยกับการเปลือยอกซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาของทั้งหญิงและชายมีเพียงผ้านุ่งผืนเดียวก็เป็นชุดลำลองอยู่กับบ้านได้   ผ้าที่ใช้ห่มตัวผู้หญิงนั้นเป็นผ้าสไบห่มเฉียง   ซึ่งอาจใช้รัดอก   หรือใช้คล้องคอก็ได้   ส่วนผู้ชายมีขาวม้า   ซึ่งเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ที่ใช้หุ้มตัวด้วย    ส่วนในยามอากาศหนาวทั้งหญิงทั้งชายก็ใช้ผ้าห่มฝ้ายผืนหนาๆ คลุมตัว    ผ้านุ่งชายในอดีตมี   2   ขนาด   คือ  ขนาดสั้น   ใช้นุ่งแบบกะทัดรัดในเวลาทำงาน   นอกจากนี้ยังเป็นการโชว์ลายสักตรงส่วนขาที่นิยมกันในยุคก่อน   หรือในยามงานพิธีก็นุ่งผ้าขนาดยาวแบบโจงกระเบนเป็นผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมก็ได้   ผ้านุ่งของผู้หญิง   คือ   ผ้าซิ่น   ซึ่งมีโครงสร้างประกอบด้วยผ้า   3   ส่วน  เย็บต่อกัน  คือ  ส่วนหัวซิ่น   ตัวซิ่น   และตีนซิ่น   อาจเป็นผ้าพื้นธรรมดา  สีแดง   สีขาว   หรือมีลวดลายก็ได้   ส่วนตัวซิ่นนั้นของผู้หญิงภาคเหนือมักจะมีลายขวาง   ส่วนของผู้หญิงอีสานมักเป็นลายตั้ง   สำหรับตีนซิ่นนั้นอาจเป็นผ้าพื้นธรรมดาหรือมีลวดลายที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของแต่ละชุมชน   ตัวอย่างเช่น   ซิ่นที่สาวๆในภาคเหนือใช้นุ่งในโอกาพิเศษเวลาที่มีงานบุญหรือไปวัดก็คือ   “ซิ่นตีนจก”  เป็นซิ่นที่มีลวดลายตรงส่วนตีนซึ่งงดงามเป็นพิเศษ   ที่เรียกว่า “ตีนจก”  เพราะทอด้วยเทคนิคสอดด้ายเส้นพิเศษที่มีสีสันต่างๆลงไปที่เรียกว่า  เทคนิคจกในยามที่หญิงสาวออกเรือน   จะต้องตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ  สำหรับใช้ในครอบครัวใหม่    รวมทั้งเครื่องไหว้พ่อ  แม่  ฝ่ายชายไม่ว่าจะเป็นผ้านุ่ง  ผ้าห่ม   ที่นอน   หมอน  มุ้ง   ทั้งหลาย   หากหญิงสาวไม่สามารถถักทอด้วยตนเอง  ก็ต้องหาซื้อเตรียมไว้ให้พร้อม  ประเพณีการดำหัว  ไหว้บรรพบุรุษ   แสดงความกตัญญูรู้คุณของลูกหลานที่มีต่อผู้ใหญ่   ในยามตรุษสงกรานต์   ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่    แต่โบราณผ้าทอผืนงามที่ลูกหลานนำไปดำหัว   คือ  สื่อแห่งความเคารพรักอย่างหนึ่ง    ในพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา   ผ้าก็มีบทบาทในการสะสมสร้างบุญ   ด้วยการทอผ้าถวายให้พระสงฆ์ได้ใช้ในโอกาสต่างๆ  และถวายเป็นพุทธบูชา  เช่น  ประเพณีการทาน  “ตง”  ซึ่งเชื่อว่าจะได้อานิสงค์ผลบุญได้เกาะชายตุงขึ้นสวรรค์   นอกจากนี้ชาวบ้านไนชนบทบางแห่งมีการถวายผ้าทอแทน  “ต้นกฐิน”  ในพิธี  “ทอดกฐิน”  โดยเรียกว่าพุทธปัจจัยดังกล่าวตามชนิดผ้าทอที่ทำถวายดังเช่น  “ต้นหมอน”  เป็นต้น  เส้นฝ้ายสีขาวผูกข้อมือเป็นองค์ประกอบสำคัญพิธีบายสีสู่ขวัญ   ผ้าขาว   ผ้าแดง  ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในพิธีกรรมหลายๆอย่าง   เช่น   พิธีไหว้ครู   พิธีสืบชะตา   เป็นต้น  แม้กระทั่งพิธีศพ   ผู้ตายจะได้รับการแต่งด้วยชุดที่สวยงามที่สุดในชีวิต    บรรดาญาติพี่น้องจะนำเสื้อผ้า  และข้าวของเครื่องใช้บางอย่างใส่ลงไปในโลง   ด้วยเชื่อว่าผู้ตายจะได้นำไปใช้ในอีกโลกหนึ่ง   ผ้าทอผืนงามพิเศษ   ซึ่งอาจเป็นฝีมือของผู้ตายเองหรือเป็นผ้าผืนที่มีผู้มอบให้ด้วยความรักจะใช้เป็นผ้าคลุมโลงศพ    ผ้าทอเหล่านี้อาจถูกเผาไปพร้อมกับผู้ตาย  แต่ในบางท้องถิ่นเมือพระสงฆ์ได้ทำพิธีบังสุกุลแล้ว   ผ้าทอก็จะคืนสู่ญาติหรือลูกหลานได้เก็บไว้  เพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ   มีการนำมาดำหัวหรือสรงน้ำในวันสงกรานต์ทุกปี   อาจกล่าวได้ว่าผ้าบังสุกุล  และด้ายสายสิญจน์ก็คือบทบาทของฝ้ายที่เป็นสื่อสุดท้ายระหว่างความเป็นมนุษย์กับผู้ตาย

จากอดีตถึงปัจจุบัน   จะเห็นได้ว่า  ผ้าทอมีบทบาทสำคัญที่ผูกพันเป็นสายใยระหว่างชีวิตและเส้นใย   ซึ่งผูกพันกับวิถีชีวิตพื้นบ้านไทยมาช้านาน   ในปัจจุบันแม้ว่าสังคมจะแปรเปลี่ยนไปจากอดีตมาแล้วก็ตาม   การทอผ้าก็ยังคงเป็นศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านที่มีปรากฏสืบทอดอยู่ในหลายท้องถิ่น   ในบางแหล่งก็ได้มีการส่งเสริมและพัฒนาเทคนิคการทอผลิตออกจำหน่ายจนเป็นอุตสาหกรรมที่ขึ้นชื่อของท้องถิ่นนั้นๆ   วัฒนธรรมการทอผ้าได้พัฒนาจากการผลิตเพื่อใช้นุ่งห่มในวิถีชีวิตพื้นบ้าน  ไปสู่การผลิตเพื่อเศรษฐกิจ  ผ้าทอพื้นบ้านพื้นเมืองในชนบทต่างๆ  ได้รับการเลือกสรรนำกลับมาใช้ใหม่โดยผู้คนในสังคมเมือง    การฟื้นฟูค่านิยมการแต่งกายแบบพื้นเมือง   การแสวงหาเอกลักษณ์ของความเป็นไทย   ได้ทำให้คนไทยหันกลับมานิยมการแต่งกายผ้าทอพื้นเมืองอีกครั้งหนึ่ง   ด้วยวัฒนธรรมการแต่งกายอันหลากหลายทั้งแนวสากลอย่างตะวันตกแนวพื้นบ้านพื้นเมืองแบบไทยๆ    ผ้าทอพื้นเมืองของไทยก็ได้รับการปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับการใช้สอนในยุคสังคมปัจจุบัน

 

แหล่งที่มา :  http://sucharinee.multiply.com/journal/item/1